ทำความเข้าใจหมายเลขระบุตัวตนแต่ละประเภท
เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (Tax ID) : เป็นหมายเลข 13 หลักที่กรมสรรพากรออกให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เพื่อใช้ในการบริหารจัดการและจัดเก็บภาษีภายในประเทศไทย วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอากร
เลขทะเบียนนิติบุคคล (Juristic Person Registration Number) : เป็นหมายเลข 13 หลัก (สำหรับนิติบุคคลที่จดทะเบียนหลังปี พ.ศ. 2551 จะใช้เลขเดียวกับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร) ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) กระทรวงพาณิชย์ ออกให้แก่นิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมายไทย เพื่อยืนยันสถานะทางกฎหมายและการมีอยู่ของนิติบุคคลนั้น ๆ ภายในประเทศ
หมายเลข D-U-N-S (D-U-N-S Number) : เป็นหมายเลขเฉพาะตัว 9 หลัก ที่ออกโดย Dun & Bradstreet (D&B) ซึ่งเป็นบริษัทข้อมูลธุรกิจระดับโลก หมายเลขนี้ใช้ระบุตัวตนทางธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ในระดับสากล และเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลธุรกิจทั่วโลกที่ครอบคลุมข้อมูลเชิงลึกหลากหลายมิติ
ความแตกต่างที่สำคัญของเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร, เลขทะเบียนนิติบุคคล และหมายเลข D-U-N-S (D-U-N-S Number)
แม้ว่าหมายเลขทั้งสามประเภทจะใช้ระบุตัวตนทางธุรกิจเหมือนกันก็จริง แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในด้านขอบเขต วัตถุประสงค์ และข้อมูลที่เชื่อมโยง
ขอบเขตและการยอมรับ : ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดคือขอบเขตการใช้งาน D-U-N-S Number มีขอบเขตและการยอมรับในระดับสากล ในขณะที่เลขประจำตัวผู้เสียภาษีและเลขทะเบียนนิติบุคคลมีขอบเขตจำกัดอยู่เพียง ภายในประเทศไทย คู่ค้าหรือหน่วยงานในต่างประเทศอาจไม่เข้าใจหรือไม่สามารถตรวจสอบหมายเลขของไทยได้อย่างสะดวก แต่ D-U-N-S Number เป็นมาตรฐานที่เข้าใจและใช้กันทั่วโลก
วัตถุประสงค์และข้อมูลที่เชื่อมโยง : วัตถุประสงค์หลักของหมายเลขไทยคือเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับภายในประเทศ (ภาษีและการจดทะเบียน) ในทางตรงกันข้าม วัตถุประสงค์หลักของ D-U-N-S Number คือเพื่อการระบุตัวตนทางธุรกิจในเชิงพาณิชย์ระดับสากล การประเมินความน่าเชื่อถือ การบริหารความเสี่ยง และการอำนวยความสะดวกทางการค้า ที่สำคัญ D-U-N-S Number เชื่อมโยงกับ D&B Data Cloud ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมข้อมูลเชิงลึก เช่น ความเชื่อมโยงของบริษัทในเครือ, ประวัติการชำระเงิน, คะแนนความเสี่ยง และข้อมูลเครดิตทางธุรกิจ เป็นต้น
หน่วยงานผู้ออกหมายเลข : หมายเลขไทยออกโดยหน่วยงานภาครัฐ (กรมสรรพากร, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) ในขณะที่ D-U-N-S Number ออกโดย Dun & Bradstreet ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านข้อมูลธุรกิจ
การมีอยู่ของ D-U-N-S Number ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของระบบการระบุตัวตนระดับชาติในเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ ระบบเหล่านี้อาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการระบุตัวตนทางธุรกิจที่เป็นมาตรฐานและตรวจสอบได้ในระดับสากลได้อย่างสมบูรณ์ D-U-N-S Number เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยทำหน้าที่เป็นตัวระบุตัวตนสากลที่อำนวยความสะดวกให้กับการค้าข้ามพรมแดน
การเปรียบเทียบนี้ยังตอกย้ำว่าตัวตนทางธุรกิจมีหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย ด้านการคลัง และด้านการพาณิชย์ หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีและเลขทะเบียนนิติบุคคลตอบสนองมิติทางกฎหมายและการคลังภายในประเทศได้ ในขณะที่ D-U-N-S Number มุ่งเน้นไปที่มิติทางพาณิชย์ในระดับสากล ซึ่งรวมถึงความน่าเชื่อถือ ความเสี่ยง ความสัมพันธ์ทางการค้า และการมองเห็นในตลาดโลก นี่จึงไม่ใช่แค่หมายเลขทะเบียนอีกประเภทหนึ่ง แต่เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกและประเมินความสามารถในการดำเนินธุรกิจในระดับโลก
บทบาทที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า D-U-N-S Number ไม่ได้มาแทนที่หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีหรือเลขทะเบียนนิติบุคคลของไทย แต่ทำหน้าที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ธุรกิจไทยยังคงจำเป็นต้องใช้หมายเลขที่ออกโดยภาครัฐ เพื่อการดำเนินงานและการปฏิบัติตามกฎหมายภายในประเทศต่อไปได้อย่างสะดวกและเป็นที่ยอมรับ ในขณะเดียวกัน ก็ควรมี D-U-N-S Number เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร สร้างความน่าเชื่อถือ และดำเนินธุรกรรมในเวทีระหว่างประเทศ การมีทั้งสองระบบช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่นทั้งในและต่างประเทศ (แม้ว่าเลขประจำตัวผู้เสียภาษีจะไม่ใช่ข้อบังคับในการขอ D-U-N-S แต่ก็แนะนำให้มีเพื่อช่วยยืนยันตัวตนธุรกิจ)
ตารางเปรียบเทียบ D-U-N-S Number กับ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี และ เลขทะเบียนนิติบุคคลของไทย


เพิ่มความน่าเชื่อถือ บนโลกออนไลน์